เริ่มเล่นภายใน วินาที
อีกหนึ่งหนังซูเปอร์ฮีโร่จากมาร์เวลคอมมิค ที่หยิบเอาตัวละครลูกครึ่งแวมไพร์กับมนุษย์อย่าง Blade มาสร้างเป็นภาพยนตร์ ในยุคที่ผู้ชมยังไม่มีหนังซูเปอร์ฮีโร่เข้าฉายแบบเดือนเว้นเดือนเช่นในปัจจุบัน และนี่คือ 5 เหตุผลที่คุณห้ามพลาดชมหนังซูเปอร์ฮีโร่สุดดาร์กเรื่องนี้
เป็นหนังที่บุกเบิกการนำการ์ตูนมาสร้างเป็นหนังของ มาร์เวล คอมมิค ก่อนหน้านี้ มาร์เวลเคยพยายามนำการ์ตูนในเครือของตนมาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วในช่วงปลายยุค 80’s ทั้ง Howard the Duck (1986) หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกของค่ายที่ออกฉายทั่วไปในอเมริกาแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ส่วน The Punisher (1989) และ Captain America (1990) ก็มีคำวิจารณ์ที่ไม่ดีจนต้องฉายแบบจำกัดโรงและส่งตรงสู่ตลาดโฮมเอนเตอร์เทนเม็นต์ ซึ่งเมื่อ Blade (1999) ทำเงินไปกว่า 131 ล้านเหรียญ จึงทำให้ค่ายมาร์เวลมีความมั่นใจในการสร้างภาพยนตร์มากขึ้นในเวลาต่อมาจนถึงทุกวันนี้
นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘มาร์เวล เอนเตอร์เทนเมนต์’ แรกเริ่มนั่นค่ายมาร์เวลฟูมฟักโปรเจ็คต์นี้มาตั้งแต่ปี 1992 โดยวางตัวศิลปินแรปเปอร์ชื่อดัง LL Cool J มารับบทนี้ ก่อนที่ค่าย นิวไลน์ซีนีม่า จะเข้ามาเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายพร้อมเปลี่ยนนักแสดงเป็น เวสลีย์ สไนปส์ แทน และด้วยความสำเร็จจากภาคนี้ ก็ทำให้มาร์เวลเริ่มเดินหน้าสร้างภาพยนตร์อย่างต่อเนื่องโดยใช้โมเดลการร่วมมือกับสตูดิโอภาพยนตร์ชื่อดัง ในนามบริษัท ‘มาร์เวล เอนเตอร์เทนเมนต์’ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะถูกค่ายดีสนีย์เข้ามาซื้อกิจการ และเริ่มสร้างภาพยนตร์ด้วยตนเองในที่สุด
หนังที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ เวสลีย์ สไนปส์ นักแสดงแอ็คชั่นผิวสีที่โด่งดังสุดขีดในยุค 90’s ซึ่งนอกจากบุคลิคที่ใกล้เคียงกับ Blade ในเวอร์ชั่นการ์ตูนแล้ว สไนปส์ยังมีความสามารถทางศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนง ทั้งคาราเต้สายดำ, ฮับกีโด, คาโปเอร่า หรือ ยิวยิตซู เป็นต้น
จนทำให้กลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีฉากต่อสู้แบบหนังมาร์เชียลอาร์ตที่ดูสมจริงในเวลาเดียวกัน น่าเสียดายที่หลังจากภาค Blade: Trinity สไนปส์จะมีปัญหากับค่ายเรื่องค่าตอบแทนจากหนัง ไปจนถึงไม่พอใจตัวหนังที่ตัวเขาถูกลดบทบาทลงไป ทำให้เขาตัดสินใจไม่กลับมารับบทนี้อีก
ได้ กีแยร์โม่ เดล โทโร่ และ ดอนนี่ เยน มาทำงานในภาคที่สอง ด้วยขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่ผสมผสานความดาร์กเข้ามาในผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เดล โทโร่ที่พึ่งสร้างชื่อเสียงมาจากหนังสยองขวัญอย่าง Cronos, Mimic และ The Devil's Backbone ได้มากำกับใน Blade II แทน ซึ่งนอกจากได้รับคำชมว่าเป็นภาคที่ดาร์กใกล้เคียงกับฉบับการ์ตูนมากที่สุดแล้ว นี่ยังเป็นการทำงานในหนังฮอลลีวูดเรื่องแรกของ ดอนนี่ เยน ในฐานะนักแสดงและผู้ออกแบบคิวบู๊ในหนังเรื่องนี้
เดวิด เอส โกเยอร์ ชายผู้อยู่เบื้องหลังความดาร์กทั้งสามภาค หลายคนน่าจะคุ้นชื่อชายผู้นี้ ในฐานะผู้เขียนบทภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่จักรวาล ดีซี คอมมิค ตั้งแต่ไตรภาค Batman ของคริสโตเฟอร์ โนแลน เรื่อยมาจนถึงล่าสุดอย่าง Batman v Superman: Dawn of Justice ซึ่งนอกจากโกเยอร์จะเป็นผู้ที่ดูแลบทภาพยนตร์ Blade ทั้งสามภาคแล้ว เขายังมีเครดิตเป็นคนที่เสนอให้เปลี่ยนนักแสดงนำมาเป็น เวสลีย์ สไนปส์ ในภาคแรก และยังควบตำแหน่งผู้กำกับในภาคที่สาม Blade: Trinity อีกด้วย