เริ่มเล่นภายใน วินาที
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
การเดินทางเริ่มจากตัวเมืองอุดรธานี มุ่งหน้าสู่จังหวัดหนองคาย ตามถนนหมายเลข 2 ประมาณ 18 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตามป้าย บอกทาง อำเภอบ้านผือ ตามถนนหมายเลข 2021 ทีนี้ตรงอย่างเดียว จนสุดทางจะพบสามแยก ให้เลี้ยวขวาตาม 2348 ไปถึง รพ.บ้านผือ เป็นสี่แยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายตาม 2348 ประมาณ 10 กิโลเมตร ก็จะพบทางเข้า อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
ถึงอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เราไปยังพระพุทธบาทบัวบกก่อน เพื่อไปสักการะรอยพระพุทธบาทบัวบก ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายใน องค์พระธาตุขนาดใหญ่ที่วัดพระบาทบัวบก พระธาตุเจดีย์องค์นี้ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2463-2479 โดยมีพระอาจารย์ศรีทัตย์ สุวรรณมาโจ เป็นภิกษุสงฆ์ผู้นำในการก่อสร้าง แบบขององค์พระธาตุเลียนแบบ จากพระธาตุพนม แต่ได้ดัดแปลงภายในทำเป็นห้องครอบ รอยพระพุทธบาทเอาไว้ องค์พระธาตุมีความสูงประมาณ ๔๕ เมตร ยอดของพระธาตุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พบเมื่อขุดรื้อเศษปูน ที่บริเวณรอยพระบาทออก ซึ่งในครั้งนั้นได้พบโบราณวัตถุอีกหลายชิ้น แต่ปัจจุบันทางวัดได้นำไปบรรจุไว้ในองค์พระธาตุแล้ว รอยพระบาทบัวบก ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในห้องด้านล่างขององค์พระธาตุ มีความยาว 1.93 เมตร กว้าง 90 ซม. ปัจจุบันได้มีการก่อปูนเสริม ให้เป็นรูปลักษณ์ของรอยพระบาทที่ชัดเจนขึ้น โดยตรงกลางทำเป็น ลายดอกบัวบาน และมีนิ้วพระบาททั้งห้ายาวเสมอกัน บริเวณรอบๆ องค์พระธาตุยังมีสวนหินให้เดินไปชมได้ด้วย
ย้อนกลับมาที่ป้อมตรวจ (สามแยกก่อนถึง) มุ่งหน้าสู่ศูนย์บริการข้อมูล ตรงจุดนี้ควรเข้าห้องน้ำ เตรียมสัมภาระให้เรียบร้อย (เพราะเดินเข้าไปค่อนข้างไกลและเหนื่อยเด้อ) ศูนย์บริการข้อมูล มีบริการข้อมูลและผู้นำทางสำหรับใครที่กลัวหลงทางโดยไม่คิด ค่าใช้จ่าย (ดีป่ะล่ะ) จ่ายแค่ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท
เมื่อร่างกายพร้อม จิตใจพร้อม เราไม่รอช้าเริ่มเดินกันเลย...ลุย! จากจุดตรวจบัตรเราเดินไปทางซ้ายก่อนประมาณ 150 เมตร พบกับคอกม้าน้อย ในบริเวณใกล้เคียงยังมี คอกม้าท้าวบารส ถ้ำฤาษี ถ้ำวัว-ถ้ำคนที่มีภาพเขียนสีโบราณ เป็นภาพวัวและกลุ่มคน สีแดงๆ เป็นภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์อายุราว 2-3 พันปี เดินจนครบกลุ่มนี้เริ่มได้เหงื่อแล้ว เดินตามป้ายชี้ไปยังผาเสด็จ เส้นทางครึ่งกิโลแม้ว! เป็นทางขึ้น ขึ้นและขึ้น ....และแล้ว เราก็ถึงผาเสด็จพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว แต่ภาพที่ได้เห็น ก็ทำให้ ลืมเหนื่อยไปเลย ทิวเขาด้านหน้าและลมที่พัดมา ทำให้เราใช้เวลา กับจุดนี้สักพักเลย
เราดูแผ่นพับที่มีแผนที่เดินไปยังจุดต่างๆ ที่เหลือ และดูนาฬิกา มัวอู้นานไม่ได้แล้ว เรามุ่งหน้าต่อไปยังฉางข้าวนายพราน และไปต่อที่เพิงหินนกกระทา ไม่ไกลกันมีบ่อน้ำนางอุสา บ่อน้ำนางอุสามีลักษณะเห็นก้อนหินสูงจากพื้นราว 1 เมตร ตรงกลางสกัดเป็นบ่อน้ำรูปสี่เหลี่ยม ใช้กักเก็บน้ำฝน ตามตำนาน เล่าว่าเป็นที่อาบน้ำของนางอุสา ข้างๆ กันเป็นเพิงหินที่มี ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ด้วย
ถึงแล้ว “หอนางอุสา” นับเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย เป็นโขดหิน สูงราว 10 เมตร คนโบราณดัดแปลงทำเป็นห้องขนาดเล็ก มีประตู หน้าต่างอยู่ใต้เพิงหิน ด้านล่างมีใบเสมาหินทราย ล้อมรอบแสดงเขตศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา ตามตำนาน เล่าว่าเป็นที่อยู่ของนางอุสา เมื่อครั้งมาเรียนวิชากับฤาษีจันทา ด้านข้างมีกลุ่มหินอีกประมาณ 10 จุด ได้แก่ ถ้ำช้าง ที่มีภาพเขียน รูปช้าง หีบศพพ่อตา หีบศพท้าวบารส หีบศพนางอุสา วัดพ่อตา โบสถ์วัดพ่อตา ถ้ำพระมีการแกะสลักหิน ลักษณะประติมากรรม นูนสูงเป็นพระพุทธรูปเรียงกันในท่านั่งและยืน และนั่งซุ้ม ถัดออกมาไม่ไกลเป็นกู่นางอุสา บนผนังมีภาพเขียนสีสมัย ก่อนประวัติศาสตร์ มีใบเสมาหินขนาดใหญ่ปักล้อมรอบเพิงหิน ตามตำนานเล่าว่าเป็นที่บรรจุกระดูกของนางอุสาและพี่เลี้ยง ออกมา 100 เมตร มีวัดลูกเขย และถ้ายังมีแรงเหลืออยู่ สามารถเดินไปยังถ้ำพระเสี่ยง ซึ่งห่างออกไปอีก 1.2 กิโลเมตร ใกล้กันยังมีเจดีย์ร้าง ห่างออกไป 450 เมตร ยังมีถ้ำดินเพียง จากจุดนี้เดินอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะกลับถึงทางเข้า วันนี้เรากลับไปนอนในตัวอำเภอบ้านผือ เพราะระหว่างที่ เดินทางจากโรงพยาบาลบ้านผือไปยังอุทยานประวัติศาสตร์ ภูพระบาท เราเห็นป้ายชี้ไปวัดหลวงพ่อนาค เลยตั้งใจจะไป ในวันรุ่งขึ้น วัดโพธิ์ชัยศรี หรือที่ชาวบ้านเรียก วัดหลวงพ่อนาค เป็นที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อนาค ที่ชาวบ้านผือและ ชาวอุดรธานี ให้ความศรัทธาอย่างมาก เพื่อนๆ ที่ได้มีโอกาส มา อำเภอบ้านผือ อย่าลืมแวะมาเที่ยวเด้อ
วนอุทยานภูหินจอมธาตุ อ.กุดจับ จ.อุดรธานี
เดินทางจากตัวเมืองอุดรธานี มุ่งหน้าอำเภอกุดจับ ตามถนน 2263 ประมาณ 30 กิโลเมตร จะถึงสี่แยกกุดจับ เลี้ยวซ้าย ไป 2341 จากนั้นสังเกตป้ายบอกทาง วนอุทยานภูหินจอมธาตุ เลี้ยวขวา ไปตามป้ายไม่ยากเลย ^^
สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่ตั้งใจไปค้างคืนที่วนอุทยานภูหินจอมธาตุ เราแนะนำให้ซื้อของกินขึ้นไปด้วย จะได้ไม่ต้องกลับเข้ามาซื้อที่ตลาด ขับรถตามป้ายผ่านเข้าป่ายางมาก็พบกับทุ่งหญ้าฟรุ้งฟริ้ง ที่พริ้วไปกับลม อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพสักหน่อย ผ่านป้ายเข้ามาก็พบกับกระโจม แหลมๆ สีน้ำตาล เราไปติดต่อที่สำนักงานเรื่องจะไปชมหินจอมธาตุ และติดต่อ สอบถามเรื่องที่พักได้ความว่า การมาเที่ยวชม ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ให้ช่วยกันรักษาความสะอาดและไม่ทำลายธรรมชาติ ส่วนการค้างแรมมี 3 แบบ 1. กระท่อม เช่าเป็นหลัง 2. กระโจม เช่าเป็นหลังเช่นกัน 3. กางเต้นท์ตามอัธยาศัย เราเลือกเช่ากระโจม ราคาหลังละ 400 บาท ในกระโจมมีปลั๊กไฟ มีไฟ 1 ดวง พัดลม ที่นอน หมอน ผ้าห่ม หน้ากระโจมมีแคร่ใหญ่ มีบริการให้ยืมชุดปิ้งย่างด้วย เตา เขียง มีด ช้อนส้อม จาน ต่างๆ แต่อาหารเตรียมเองนะ (ถ่านก่อไฟด้วยเตรียมมาเองนะ)
ตกลงเรื่องการอยู่ การกินเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินเรียกเหงื่อแล้ว หินจอมธาตุจ๋า น้องกำลังไปหานะ
ว่าแล้วก็ ขับรถไปตามทาง จากทางคอนกรีต กลายเป็นทางดิน ในที่สุด เราก็มาถึงจุดที่รถเล็กไม่สามารถไปต่อได้แล้ว...ฮืออ ยังไม่ถึงจุดจอดรถเลย เราก็แอบรถเข้าริมทางและแบกกล้องเดิน เส้นทางค่อนข้างชัน และเป็นทางดินสลับหินก้อนโตๆ (ทางแม้ว) แนะนำให้พกน้ำดื่มไปด้วย เพราะจากรถที่จอดไว้ เดินขึ้นมาถึง จุดจอดรถก็ลิ้นห้อยแล้ว
เส้นทางจากนี้ไปสู่หินจอมธาตุ มี 2 เส้นทางด้วยกัน เส้นทางเดิน และเส้นทางปั่นจักรยาน (เสือภูเขาเด้อ) สำหรับเส้นทางเดิน เพื่อนๆต้องหมั่นสังเกตป้ายดีๆ จะมีป้ายบอกทางอยู่เป็นระยะ บางจุดเราก็เดินงงๆ เหมือนกัน เส้นทางเป็นลักษณะภูเขา มีหิน และดินสลับกัน ลื่นๆ บ้าง ตลอดทางวิวสวยดี เป็นป่าสลับลานหิน มองเห็นทิวทัศน์ทางอำเภอหนองวัวซอ
เส้นทาง 2 กิโลแม้วผ่านไป เราเริ่มเห็นก้อนหินโตๆ ดูไกลๆ จะคล้ายหอนางอุสา ของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตามอง ขาเดิน ปากหอบ ...ในที่สุดก็มาถึงจนได้ มีป้ายห้องน้ำด้วย และป้าย "ผู้พิชิตภูหินจอมธาตุ" เราเดินถ่ายรูปจนพอใจ ได้เวลานั่งชมวิวข้างๆ หินจอมธาตุแล้ว แผ่นหินลาดเอียงลง เป็นหน้าผา ต้องระมัดระวังด้วยเน้อ ใต้ร่มไม้มีเถาวัลย์ห้อยลงมา เป็นชิงช้าด้วย นั่งรับลมเย็นๆ ...ฟินที่สุด
เวลาช่างผ่านไปเร็วเสมอ ได้เวลาเดินกลับแล้ว เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน ขามาป้ายมันหันหาเรา เรายังหลงเป็นช่วงๆ ขากลับเพื่อนๆ ต้อง สังเกตป้ายบอกทางให้ดีๆ นะ เดี๋ยวจะหลงได้ ตอนกลับไม่เหนื่อย เท่าตอนมาและแสงแดดก็เริ่มอ่อนลง ทำให้อากาศเริ่มเย็นขึ้น เรากลับไปยังกระโจม พี่ๆ เจ้าหน้าที่น่ารักมากเลย จัดของให้เรา เรียบร้อย แถมยังเอาไฟมาติดหน้ากระโจมให้ด้วย กลัวว่า เราทำอาหาร แล้วจะมองไม่เห็น ขอบคุณพี่ๆ เสร็จ ก็รีบไปอาบน้ำ กลัวดึกๆ แล้วจะหนาวอาบไม่ไหว ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลจากกระโจม และสะอาดด้วย
ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จสิ้น ก็ถึงเวลา "กิน" ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เราเริ่มก่อไฟ ทำข้าวจี่ ย่างเนื้อ และจัดกับข้าวที่เตรียมมา เราสังเกตว่าคืนนี้ไม่เห็นพระจันทร์ เลยปิดไฟ รอให้สายตา ชินกับแสง แอบหวังว่าจะเห็นทางช้างเผือกบนฟ้า และเมื่อ สายตาเริ่มชินกับแสง เราก็เห็นทางช้างเผือกจริงๆ ด้วย อยู่บนหัวเราเลย ...โชคดีจัง ขอบคุณทุกสิ่ง ที่ทำให้เรามาอยู่ตรงนี้
ภูฝอยลม จ.อุดรธานี
การเดินทางไม่ยากเลยจากอุดรธานี มุ่งหน้าสู่จังหวัดขอนแก่น และเลี้ยวกลับเข้าทางวัดบ้านตาด ไปตามป้ายอำเภอหนองแสง เมื่อถึงอำเภอหนองแสง ก็ตามป้ายภูฝอยลมเลยทีนี้ ง่ายเนอะ ^^
เส้นทางสามารถขับรถเข้าไปจนถึงที่เลย สะดวกสบายมาก เส้นทางไม้คดเคี้ยวเท่าไหร่ เมื่อเข้าสู่พื้นที่ภูฝอยลม ด้านขวา จะเป็นสวนดอกไม้ สวนรวมพรรณไม้ 60 พรรษา มหาราชินี ด้านซ้ายเป็นฝอยลมสวัสดิการ ร้านอาหาร ถัดมาเป็นสนามหญ้า สำหรับกิจกรรมต่างๆ มาจนสุดทางเราเลี้ยวขวาเข้าไปจอดรถ เป็นลานกว้างๆ อีกลานหนึ่ง มีที่รอบกองไฟด้วย ตรงเข้าไปเป็น จุดชมวิว ที่เห็นวิวเมืองอุดรธานีอยู่ไกลๆ และพื้นที่ป่าอยู่ใกล้ๆ จากนั้นเราเดินกลับออกมาตรงป้าย เพื่อเข้าสู่การเดินขึ้นอุทยาน โลกล้านปี เดินเข้ามาจะพบกับ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ซึ่งพื้นที่นี้ เคยมีไดโนเสาร์อาศัยอยู่กลายชนิด ภายในยังจัดแสดงฟอสซิล นอกจากนี้ยังมีไม้กลายเป็นหิน และบอร์ดความรู้ของภูฝอยลม ฝอยลม เป็นไลเคนประเภทหนึ่ง ที่จะขึ้นในพื้นที่ ที่มีความ อุดมสมบูรณ์มากๆ ซึ่งเคยพบเกาะอาศัยอยู่ตามกิ่งของต้นไม้ใหญ่ ในบริเวณนี้อยู่เป็นจำนวนมากจึงได้ชื่อว่า ภูฝอยลม ปัจจุบัน พบได้น้อยลงเนื่องจากป่าถูกบุกรุกจนมีสภาพเสื่อมโทรมลง
ออกจากอาคารพิพิธภัณฑ์ ก็เป็นทางเดินขึ้นเขาแนะนำให้พก น้ำดื่มและทายากันยุงด้วย ระหว่างทาง (ยุงเยอะมาก) จะมีรูปปั้นไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ ตลอดทาง และรูปปั้น แสดงวิวัฒนาการจากลิง สู่มนุษย์ ใครมาก็ชอบมาถ่ายรูปตรงนี่ จากนั้นเดินสู่จุดชมวิว หรือที่ป้ายบอกว่า จุดฟอกปอด เพราะตรงนี้อากาศบริสุทธิ์ เส้นทางเดินนับว่าค่อนข้างสะดวก และไม่ไกลมาก ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้สูงอายุ ก็น่าจะเดินไหว จากนั้นเรากลับออกไปที่รถ และขับหาจุดกางเต้นท์
จุดกางเต้นท์ มีทั้งหมด 3 จุด เราเลือกบริเวณหน้าสำนักงาน ซึ่งอยู่เหนือสวนดอกไม้ขึ้นมา เพื่อนๆ ที่จะมากางเต้นท์ที่นี่ ควรเตรียมไฟฉาย แบตเตอรี่สำรองให้เรียบร้อย เนื่องจาก ภูฝอยลมไม่อณุญาตให้ต่อใช้ไฟฟ้า และห้ามก่อไฟ จึงควร เตรียมอาหารให้เหมาะสม แต่ที่นี่ก็มีบริการบ้านพักเป็นหลัง ให้เช่าด้วย และมีบริการอาหาร เครื่องดื่ม
ได้เวลาอาหารมื้อเย็น ใต้แสงดาว ไร้ซึ่งดวงจันทร์ในคืนนี้ ทำให้เราเห็นทางช้างเผือก ชัดเจนมาก เพราะไม่มีไฟรบกวน ในบรรยากาศแบบนี้ ถ้าก่อเตาไฟได้คงดี น้ำค้างเริ่มมาแล้ว ได้เวลาเก็บของให้เรียบร้อย แล้วไปนอน ลืมบอกไป... ห้องน้ำมีเยอะมาก และสะอาดด้วย ถ้าจะมาไม่ต้องกังวล เรื่องนี้เลย ...ฝันดี
วันต่อมาเราตื่นเช้าผิดปกติ โดยไม่อาศัยนาฬิกาปลุก ทำให้เราออกจากเต้นท์ ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นพอดี พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ขึ้น ดอกได้ที่สวนก็ค่อยๆ บาน หมอกจางๆ ทำให้กลีบดอกได้ชุ่มไปด้วยน้ำค้าง บางครั้ง ความสุขก็แค่เราอยู่นิ่งๆ และมองดูธรรมชาติ มันซึมซับความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้น...ก็เพียงพอแล้ว