เริ่มเล่นภายใน วินาที
ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องพิชิต “ภูกระดึง”
ตะลุย อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 3 วัน 2 คืน การเดินทางจากจังหวัดอุดรธานี เดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดเลย เมื่อถึงอำเภอวังสะพุง ให้เลี้ยวซ้ายตามป้ายภูกระดึง(201) จากวังสะพุง ถึงภูกระดึงระยะทางประมาณ 55 กิโลเมตร
เรามาถึงภูกระดึงเวลา 8 โมงตรง ทางเข้ามีป้อมจำหน่ายบัตร สำหรับนักท่องเที่ยว และสำหรับรถที่นำเข้าไป เมื่อได้ที่จอดรถ เรียบร้อยก็เตรียมกระเป๋าสัมภาระให้พร้อมสำหรับการแบกน้ำหนัก เดินขึ้นเขา ควรกินข้าว และเตรียมน้ำติดตัวไปด้วย เพราะทาง ข้างหน้า ไม่ธรรมดาเลย แต่ไม่ต้องกังวลไปสำหรับนักท่องเที่ยวที่ แบกของขึ้นเองไม่ไหว ทางภูกระดึงมี “ลูกหาบ” ไว้บริการ ทำหน้าที่หาบของขึ้นไปส่งที่ด้านบน ค่าบริการกิโลกรัมละ 30 บาท
10.30 น. เราเตรียมตัวเรียบร้อย พร้อมที่จะเดินทางแล้ว (ทำใจ) ก่อนขึ้นเราไปลงชื่อ วัน เวลา และลองเอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนักดู กระเป๋าของเรามีน้ำหนัก 9.7 กิโลกรัม และตัดสินใจแบกขึ้นเอง เป้าหมายแรกคือ ซำแฮก (เป็นจุดพัก มีอาหาร เครื่องดื่มและห้องน้ำ ไว้บริการ) เส้นทาง 1 กิโลเมตร เป็นป่าเต็ง-รัง เส้นทางนี้ค่อนข้าง ชัน แต่ต้องเก็บแรงไว้ด้วยเพราะ จากจุดบริการนักท่องเที่ยวถึง หลังแป ชั้นบนสุดมีระยะทาง 5.5 กิโลเมตร เราเดินเท้าขึ้นมา ถึงซำแฮกก็ได้เหงื่อไม่น้อยเลย เรายืนพักจุดนี้ 15 นาทีเพื่อที่ จะไปต่อ จุดต่อไปคือซำบอน เป็นทางราบ 700 เมตรต่อจาก จุดนี้ไป จะเป็นทางเดินขึ้น แต่ไม่ชันมาก เราเดินรวดเดียวผ่าน ซำบอน ซำกกกอก ซำกอซาง และแวะพักทำใจ 10 นาที ที่พร่านพรานแป จุดนี้เป็นป่าเบญจพรรณ
ตอนนี้เวลา 11.30 น. ตั้งเป้าหมายว่าเราจะไปกินข้าวเที่ยง ที่ซำแคร่ก่อนเวลา 12.30 น.ให้ได้ จากพร่านพรานแป เราเริ่ม ออกเดินขึ้นไปสู่ซำกกหว้า ซำกกไผ่ จุดนี้เข้าสู่ป่าดิบแล้งเป็นทางชัน ต่อด้วยซำกกโดนและในที่สุดเราก็มาถึงซำแคร่ เวลา 12.20 น. ระยะทาง 1.65 กิโลเมตร (โคตรเหนื่อย) ที่ซำแคร่เราแวะพัก กินข้าวเที่ยง 1 ชั่วโมง และเริ่มออกเดินขึ้นสู่หลังแปเวลา 13.30 น. สาเหตุที่พักนานเพราะจากซำแคร่ สู่หลังแป เป็นเส้นทางที่ชันที่สุด ระยะทางยาว 1.3 กิโลเมตร สิ่งที่กังวลที่สุดคือตะคริว เพราะ ถ้าเป็นแล้วจะเป็นอุปสรรคมากกกกกก จากจุดนี้ขึ้นไปจะเป็น ป่าดิบเขา ทางครึ่งแรกเป็นทางดินสูงขัน ส่วนในครึ่งหลังโหดหน่อย เป็นทางหิน ต้องปีนก้อนหินบ้าง ปีนบันไดบ้าง แวะพักตลอดทาง กระเป๋าที่แบกมาแทบอยากจะโยนทิ้งเลยก็ว่าได้ และในที่สุด เราก็มาถึงหลังแปในเวลา 14.30 น. รู้สึกดีใจมาก แต่... พอเดินไปดูแผนที่ โอ้วววววววว...ต้องเดินอีก 3.6 กิโลเมตร จึงจะถึงจุดกางเต้นท์ ขอนั่งพักแปป
หลังแปป เราจะเห็นผู้คน 2 อารมณ์ แบบแรก ดีใจมากที่ใช้ 2 ขาพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ แบบหลัง กำลังทำใจที่ต้องเดินลงไปอีก 5.5 กิโลเมตร แต่ตลอดเส้นทางเรารู้สึกดีมาก นักท่องเที่ยวที่เดินขาลง จะคอยให้กำลังใจนักท่องเที่ยวขาขึ้นตลอดทาง “ใกล้ถึงแล้ว” “สู้ๆ” มันช่วยได้นะ และช่วยได้ดีเลยแหละ ในเวลาที่เรากำลังท้อ และความบันเทิงอีกอย่างหนึ่งที่มีตลอดเส้นทางเช่นกันคือ “ลูกหาบ” เค้าจะมีลำโพง bluetooth และเปิดเพลงที่มีจังหวะ เร้าใจมาก จุดพักแต่ละซำ จะมีลูกหาบแวะพักเป็นกลุ่มๆ ต่างคนต่างเปิดเครื่องเสียงประชันกัน รู้สึกเหมือนอยู่งานบุญ ตลอดเวลา ช่วยให้มีสีสันตลอดทางเลย
เมื่อเรามาถึงจุดกางเต้นท์ ก็จัดการเดินเลือกตำแหน่งที่ชอบ ไม่ลืมที่จะไปซื้อปูนขาวมาโรยสร้างขอบเขตช่วยไม่ให้ตัวทาก เข้ามานอนร่วมเต้นท์กับเรา จัดการกางเต้นท์ จัดข้าวของ และอาบน้ำก่อนฟ้ามืด เพราะขนาดฟ้าไม่มืดน้ำยังเย็นมาก ล้างหน้านี่หน้าชาเลยทีเดียว แปรงฟันบ้วนปากที ปากนี่ ชาไปหมด แต่อาบเสร็จแล้วสบาย เพราะจะรู้สึกไม่หนาว
18.00 น.ได้เวลาเคารพธงชาติ และอาหารมื้อเย็น ของทุกอย่างที่ขายบนนี้ราคาจะสูงกว่าปกติ เนื่องจาก พ่อค้า แม่ค้าต้องจ้างลูกหาบเอาสินค้าขึ้นมาส่ง ฉะนั้น อย่าตกใจไป แต่ร้านค้าก็ใจดีนะ เค้าให้ใช้ไฟฟ้าได้ เมื่อเสร็จเรื่องกิน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต เราก็ไปดู ร้านโปสการ์ด มีโปสการ์ดสวยๆ มากมายและมีบริการ ส่งให้เลย ดูเวลาก็สามทุ่มแล้ว เรารีบกลับเต้นไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินอีกไกลลลลลลลลลลลล ฝันดีเด้อ...Z z z
วันที่ 2 กับ “ภูกระดึง” เราตื่นแต่เช้ามืด ล้างหน้าแปรงฟัน ส่วนเรื่องอาบน้ำนั้น...ขอผ่าน เพราะหนาวมากกก เราไปรวมตัวกันที่จุดบริการนักท่องเที่ยว เพื่อเดินทางไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ ผานกแอ่น เราเดินกัน เป็นขบวนโดยมีเจ้าหน้าที่เดินนำไป ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง (พกไฟฉายไปด้วยนะ) เมื่อไปถึงผานกแอ่น นักท่องเที่ยวก็ต่างไป จับจองที่เพื่อรอชื่นชมแสงแรกของวัน ใกล้ๆ มีโต๊ะจำหน่าย เครื่องดื่มร้อนๆ ไว้แก้หนาวด้วยแหละ
เรานั่งรอจนถึง 7 โมง แสงเริ่มสว่างขึ้น หมอกลอยสูงทำให้ ไม่เห็นภาพทะเลหมอก แถมยังลอยสูงจนบังดวงอาทิตย์ ทำให้ไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย...เสียดายจัง เรานั่งแช่อยู่ที่เดิมจนถึง 8 โมง เลยเดินทางกลับจุดกางเต้นท์ เพื่อกินอาหารเช้าและอาบน้ำ เตรียมสัมภาระในการเดินทาง ไปผาหล่มสัก ระยะทางไป-กลับ ประมาณ 20 กม. (เตรียม ร่างกายและจิตใจให้ดี) เวลา 11.00 น. เราเริ่มออกเดินทาง ไปยังจุดแรกคือ ลานพระศรีนครินทร์และไปต่อยังน้ำตกถ้ำใหญ่ เพื่อไปดูใบเมเปิล ใบไม้สีแดงที่ใครก็ตามที่มาเยือนภูกระดึง ไม่ควรพลาด เป็นจุดเซลฟี่เลยก็ว่าได้
จากนั้นเราก็เดินไปต่อเวลาเที่ยงตรง แดดแรงมาก แต่ยังดีที่อากาศ เย็นสบาย ชมความงามสองข้างทาง มีต้นสน เฟริน มีดอกไม้เล็กๆ ตามริมทางและยังเห็นต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นระยะๆ อีกด้วย เรามาถึงสระอโนดาด เราแยกซ้าย เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไปทาง ผาเหยียบเมฆแทน ตอนนี้เริ่มคิดว่าเราควรเช่าจักรยานมาปั่น ตั้งแต่แรก (คันละ 300 บาท) แต่ด้วยความคิดที่ว่า มาภูกระดึงต้องเดิน ทำให้เราต้องเดินตากแดดต่อไป เพียงไม่นานเราก็ถึงผาเหยียบเมฆ เราพักตรงจุดนี้ เพราะมีร้านค้าบริการอาหาร เครื่องดื่ม น้ำแข็ง น่าจะเป็นสิ่งมีค่าที่สุด แก้วละ 10 บาท ตอนขึ้นเราเห็นลูกหาบแบก ขึ้นมา น้ำแข็งละลายหยดตามทาง กว่าจะมาส่งถึงร้านค้าแต่ละร้าน ไม่แปลกใจที่ทุกอย่างมีราคาสูงกว่าปกติ แตงโมบางๆ 20 บาท M-150 ชวดละ 30 บาท น้ำเปล่า 20-30 บาท (ราคาแล้วแต่ร้านด้วยนะ)
พักที่ผาเหยียบเมฆ เพลินจนเหงื่อแห้งก็ได้เวลาเดินทางต่อ เราเลี้ยว ขวาไปตามทางริมผา จนในที่สุดเราก็มาถึงผาหล่มสักในเวลา 16.30 น. เรานั่งชมความงามของผืนป่าที่กว้างไกลสุดสายตา ลมเย็นพัดมาเป็นระลอก มีเสียงช้างดังมาจากป่าด้านล่างด้วยได้แต่ขอให้อย่าขึ้นมาบนนี้เลย เรารอจนเวลา 18.00 น. หมอกเริ่มลงจนไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ ตกได้ (น่าเสียดาย) นักท่องเที่ยวทะยอยเดินทางกลับจุดกางเต้นท์ บ้างใช้จักยานที่เช่ามา บ้างเดินเท้ากลับ แต่ละคนต่างย่างสามขุม แข่งกับแสงที่กำลังมืดลง แต่ละคนจะมีไฟส่องสว่างของตัวเอง ไม่นาน ก็มืดสนิท นักท่องเที่ยวทุกคนใช้ทางเลาะเลียดหน้าผาเป็นทางกลับ พอถึงผาหมากดูกก็แยกซ้ายเพื่อเข้าจุดกางเต้นท์ กว่าจะมาถึงจุดกางเต้นท์ ก็เป็นเวลา 20.30 น. อากาศก็เย็น แถมน้ำยังเย็นยังกับน้ำแข็ง แต่เราต้องอาบน้ำเพราะเดินมาทั้งวัน อาบน้ำเสร็จแล้วจะรู้สึกสบายมาก ไม่หนาวด้วย เราออกไปกินข้าวแล้วเข้านอนในเวลา 22.00 น. พรุ่งนี้ต้องเดินลงอีก
วันกลับ...เราตื่นมา 8 โมง อาบน้ำ เก็บเต้นท์และสัมภาระทุกอย่างให้ พร้อมเดินทางและไปกินข้าวเพิ่มพลัง (+ทำใจ) เราเดินมาถึงหลังแป ก็นั่งทำใจสักพักใหญ่ก่อนที่จะเริ่มเดินลงเขา ตอนลงต้องใช้ความ ระมัดระวังมาก เราเห็นบางคนวิ่งลงเขาสะดุดล้มกลิ้งไปไกลเลย ท่าจะเจ็บไม่น้อย เพราะมีแต่ก้อนหิน ตอนเดินลงทำให้เราปวดขา มากกว่าตอนขึ้น 4-5 เท่าเลย กว่าจะมาถึงตีนภูใจจะขาด........
แล้วพบกันใหม่นะ...”ภูกระดึง”
“รักนะภูกระดึง”