เริ่มเล่นภายใน วินาที
สัจธรรมของชีวิต ทุกคนที่เกิดมานั้น ล้วนมีเกิด แก่ เจ็บ และตาย เป็นธรรมดา คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรม จากครูบาอาจารย์ เรื่องปริศนาธรรม ของคนตาย ที่คนเป็นอย่างเรา อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน มาให้รับชม เผื่อจะเป็นข้อคิดและเตือนสติ สำหรับท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไม่ประมาท มัวเมา หลงใหลในชีวิต หลงใหลในความไม่มีโรค หลงใหลในทรัพย์สมบัติ ที่มีอยู่ เพื่อให้คิดว่า วันนี้เรามาเพื่อเผาคนอื่น และในวันหนึ่ง ตัวเรานั้น ก็ต้องถูกเขาเผาเหมือนกัน ปริศนาธรรม คติธรรม ของคนตาย ที่แฝงอยู่ในตัวของงาน ได้สอนอะไรไว้ให้กับคนเป็นอย่างเรา ที่ยังมีชีวิตอยู่บ้าง ไปชมกันเลย
๑. การ มัดตราสังข์สามเปราะ ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็น อย่างเราได้รู้ ก็คือ
๑. การมัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก
๒. การมัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี บ่วงรักภรรยา
๓. การมัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ
ซึ่งหากเรา ติดอยู่สามบ่วงนี้ ก็ไปนิพพานไม่ได้ และต้องเวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อยู่ในสังสารวัฏนี้ ไม่มีวันจบ ไม่มีวันสิ้น
๒. การเคาะโลงรับศีล ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็นอย่างเราได้รู้ ก็คือ การเคาะโลงนั้น ไม่ใช่ให้คนตาย ตื่นมารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอก คนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาท ขาดสติ ไม่สนใจ ในหลักธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตายไปแล้ว ก็หมดโอกาส ในการทำความดี และสร้างบุญกุศลบารมี ถึงแม้ จะเคาะจนโลงแตก ก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ จะลุกขึ้นมา เพื่อทำความดี สร้างความดีอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว
๓. การสวดอภิธรรม ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็นอย่างเราได้รู้คือ การสวดอภิธรรม อันหมายถึง ธรรมะชั้นสูง เป็นธรรมะล้วนๆ ซึ่งมักจะสวด เป็นภาษาบาลี คนเป็นอย่างเราฟังไม่รู้เรื่อง จนนึกว่า สวดให้คนที่ตายไปแล้ว แต่จริงๆ แล้ว เป็นการสวดเพื่อ สอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้นำ หลักธรรมไปปฏิบัติ ให้เกิดผลดี ในชีวิตประจำวัน ทั้งทางคดีโลก และคดีธรรม ดังนั้น แม้เราจะฟังไม่เข้าใจ แต่เพื่อให้การฟัง สวดอภิธรรม เกิดผล ก็ควรสำรวมกาย วาจา และใจของเรา ให้อยู่กับเสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่ง อยู่กับเสียงพระสวด ก็จะเกิดสมาธิได้
๔. การที่ พระ ๔ รูปที่มาสวดตอนกลางคืน ซึ่งจะถือตาลปัตร ที่มีข้อความว่า ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี และหนีไม่พ้น ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็นอย่างเราได้รู้คือ
๑. ไปไม่กลับ คือ เวลา ซึ่งเตือนให้เรารู้ว่า วันเวลานั้น มีแต่เดินไปข้างหน้า ไม่อาจจะย้อนคืน กลับมาได้ เมื่อสิ้นวันหนึ่ง เราควรพิจารณาไตร่ตรองว่า ได้กระทำสิ่งใดไปบ้างแล้ว สิ่งที่ดีก็พึงกระทำต่อไป สิ่งไหนที่ไม่ดี ก็ควรปรับปรุง และแก้ไขให้ดีขึ้นมา
๒. หลับไม่ตื่น คือ โมหะ หรือความลุ่มหลง ถ้าคนเรา หลงอยู่ในความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว ก็จะตกอยู่ในความมืดมน อยู่ในความทุกข์ต่างๆ จนมองไม่เห็น หนทางแห่งความดีงาม ไม่มีความสุข และไม่มีความเจริญ
๓. ฟื้นไม่มี คือ กรรม จงเตือนตนเองไว้เสมอว่า การทำกรรมใดไว้ ก็ได้กรรมนั้น เมื่อกระทำกรรมดี ก็จะได้รับผลแห่งกรรมดี แต่ถ้ากระทำกรรมชั่ว ก็จะได้แต่ผลของกรรมชั่ว ไม่มีสิ่งใด จะมาลบล้าง หรือชดเชย ให้หลุดพ้น จากผลแห่งกรรมชั่วได้ มีแต่ความดีเท่านั้น ที่จะทำให้ผลเบาบางลง
๔. หนีไม่พ้น คือ วิบากกรรม จงเตือนตนเองไว้เสมอว่า ไม่มีผู้ใดจะหนีพ้น จากการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ติเตียนนินทา และความทุกข์ทั้งปวงได้ แม้แต่องค์พระปฏิมา ยังมีราคิน ไฉลเลย มนุษย์เดินดิน คนธรรมดาทั่วไป จะล่วงพ้นไปได้
๕. การบวชหน้าไฟ ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็นอย่างเราได้รู้คือ การบวชหน้าไฟนั้น เรามักเข้าใจกันว่า เป็นการบวช เพื่อจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ แต่ในความจริงแล้ว การบวชหน้าไฟนั้น เป็นการปลงธรรมสังเวช ต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตาย ในที่สุด ซึ่งมนุษย์เราก็มีเท่านี้ มนุษย์เราทุกคน ก็ต้องผ่าน วิถีชีวิตแบบนี้ กันทั้งสิ้น ไม่มีใครจะล่วงพ้น การเกิด แก่ เจ็บ และตายไปไม่ได้ แม้แต่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนทำให้เกิด การเบื่อหน่ายต่อชีวิต ในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณเพศ มุ่งปฏิบัติธรรม เพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เข้าสู่ความเป็นไท จนพ้นทุกข์ เห็นธรรม และเดิน ตามรอยทาง แห่งพระอริยเจ้าทุกๆ พระองค์
๖. การนิมนต์พระ จูงออกหน้าผู้ตาย ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็นอย่างเราได้รู้ ก็คือ การนิมนต์พระ จูงออกหน้าผู้ตายนั้น ก็เพื่อจะสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ได้สำนึกว่า ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้องเดินตามหลังพระ ซึ่งหมายความว่า ให้ดำเนินชีวิต ตามพระธรรม ตามคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้านั่นเอง อยู่ในศีลธรรม คุณงามความดี จึงจะอยู่ดี มีความสุข และมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
๗. การเวียนซ้าย ๓ รอบ ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็นอย่างเราได้รู้ ก็คือ การเวียนซ้าย ๓ รอบ หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในภพทั้งสาม อันได้แก่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจแห่งกิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ ที่นอนเนื่อง อยู่ในจิตใจของคนเรา ซึ่งจะก่อให้เกิดความทุกข์ ไม่จบสิ้น ฉะนั้น ต้องทวนกระแส กิเลสตัณหาอุปทาน ไม่ทำตามใจชอบ ให้มีธรรมะอยู่ในใจ ทำทุกอย่างที่ดี มีคุณค่าต่อตนเอง และผู้อื่น ซึ่งเป็นการสอนธรรมะชั้นสูง จึงได้พาคนตายเวียนซ้าย
๘. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าคนตาย ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็นอย่างเราได้รู้คือ การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าคนที่ตายแล้ว ก็เพื่อชี้ ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวนั้น เป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ดุจดั่งน้ำทิพย์ แห่งพระธรรม ที่คอยชะโลมจิตใจ ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ที่อยู่ในทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เมตตา ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนดอกบัว ที่เกิดในตม แต่ไม่ติดตม และคู่ควรแก่การบูชา พระพุทธองค์
๙. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิ และมีการเขี่ยขี้เถ้าของผู้ตาย ให้เป็นรูปร่าง กลับไปกลับมา ปริศนาธรรม ที่แฝงอยู่ เพื่อให้คนเป็นอย่างเราได้รู้ ก็คือ การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว ก็เพื่อจะบอกเราว่า ได้กลับชาติใหม่แล้ว ตามวิบากกรรม ต่อไป ถ้าทำกรรมดี ก็จะนำไปสู่สุคติภูมิ อันได้แก่ เทวโลก พรหมโลก อรูปโลก แต่ถ้าหาก ทำกรรมชั่ว ก็จะนำไปสู่ทุคติภูมิ อันได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เป็นต้น
เป็นยังไงบ้างครับ คุณผู้ชม ปริศนาธรรมของคนตาย ที่คนเป็นอย่างเรา ควรจะรู้ เพราะชีวิตของเรา ทุกผู้นามที่เกิดมาในโลกนี้ เป็นของสั้นนัก ดังเช่น ธูปดอกเดียว เมื่อเริ่มจุดเมื่อไหร่ ก็เหมือนกับชีวิต ที่มีความตาย เริ่มติดตามตั้งแต่ตอนนั้น กลิ่นหอมของธูป ก็เหมือนกลิ่นแห่งความดีงาม ที่ล่องลอยอยู่ในโลก กลิ่นแห่งความดีงาม ย่อมส่งกลิ่นหอมอยู่นาน ทวนลมอยู่เสมอ หากชีวิตที่ไร้ความดี ก็ไม่ต่างอะไรกับ ธูปที่ไร้กลิ่น ดำรงอยู่เพียงเพื่อ รอความตาย ไม่เคยรู้จักเลยว่า ความดีนั้น เขาทำกันอย่างไร และเมื่อได้จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่จะเรานำติดตัวไปได้
ก็มีเพียงแค่บุญ และบาป เท่านั้น เงินทอง แม้แต่เหรียญเดียว ที่ญาติพี่น้องเอาใส่ปากให้ ก็ยังไม่สามารถ ที่จะนำติดตัวไปได้ เพราะฉะนั้น ปริศนาธรรม ของคนตาย ที่สอนคนเป็นอย่างเรานั้น ก็เพื่อให้เราไม่มัวเมา ไม่หลงใหล ในชีวิต ไม่หลงใหลในความไม่มีโรค ไม่หลงใหลในทรัพย์สมบัติ ที่มีอยู่ และก็ไม่ประมาทในชีวิต
ขอบคุณที่มา.. https://www.youtube.com/watch?v=IStbX4qfHHA